โดยในเด็กวัยเรียนกลุ่มที่มีอาการมากเป็นอันดับหนึ่งคือ เด็กกลุ่มสมาธิสั้น (ADHD) และรองลงมาคือ เด็กที่มีความบกพร่องเฉพาะด้านในการเรียนรู้ (LD) พบประมาณ 4-6% ของเด็กในวัยเรียน และมักจะเป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ทั้ง 2 กลุ่มนี้สามารถเข้ารับการรักษา กระตุ้น และปรับพัฒนาการให้กลับมาเทียบเท่าเด็กปกติได้ หากมีการดูแลและออกแบบแนวทางที่เหมาะสมสอดคล้องตามกลุ่มอาการที่เด็กเป็น
กลุ่มอาการอีกประเภทหนึ่งที่ยังไม่ได้ถูกจัดอยู่เด็กที่มีความต้องการพิเศษทั้ง 9 กลุ่ม เนื่องจากเป็นภาวะที่สามารถดูแลและกระตุ้นได้ คือกลุ่มเด็กปัญญาทึบมีอาการที่คล้ายกับกลุ่มปัญญาอ่อนและกลุ่มการบกพร่องทางการเรียนรู้ ในความจริงแล้วหากมีการกระตุ้นพัฒนาการจากบุคคลรอบตัวทั้งผู้ปกครองและคุณครู เด็กก็มีความสามารถที่จะเรียนรู้ได้แต่อาจจะมีจังหวะการเรียนรู้ที่ช้ากว่า ต้องคอยเสริมและย้ำมากกว่าเด็กทั่วไป เป็นต้น
การเล่นของเด็กมีความสำคัญมาก ในปัจจุบันผู้ปกครองและโรงเรียนเร่งให้เด็กอ่านออกเขียนได้เป็นค่านิยมที่สะท้อนถึงความมีความสามารถ ในความเป็นจริงแล้วหากพื้นฐานด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม ของเด็กยังไม่พร้อมก็จะส่งผลให้เกิดปัญหาด้านการเรียนรู้ขึ้นได้ในอนาคต ดังนั้นการเล่นจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่เตรียมความพร้อมให้วัยเด็กก่อนเข้าสู่วันเรียน เป็นสิ่งที่ช่วยเสริมสร้างการพัฒนาทางด้านต่างๆ ทั้งทางร่างกาย อารมณ์ สังคม และจิตใจ ซึ่งมีผลดีต่อการเติบโตของเด็กในหลายด้าน
1. พัฒนาทักษะทางร่างกาย : การเล่นช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกายและพัฒนากล้ามเนื้อ โดยเฉพาะการเล่นที่ต้องใช้การเคลื่อนไหว เช่น การวิ่ง กระโดด หรือการเล่นกีฬา ที่ช่วยพัฒนาความคล่องตัวและประสาทสัมผัส หากอวัยวะแต่ละส่วนของเด็กแข็งแรง เช่น กล้ามเนื้อปากแข็งแรงจะส่งผลให้เด็กอ่านออก พูดคล่อง กล้ามเนื้อมือแข็งแรงจะส่งผลให้เด็กเขียนได้เพราะเขาควบคุมกล้ามเนื้อมือของเขาได้ เป็นต้น
2. พัฒนาทักษะทางสังคม : การเล่นเป็นโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้การทำงานร่วมกับผู้อื่น ทั้งการแบ่งปัน การทำงานเป็นทีม การแก้ไขปัญหาหรือการต่อรอง ซึ่งช่วยพัฒนาทักษะทางสังคมและการสื่อสาร
3. พัฒนาทักษะทางจิตใจและอารมณ์ : การเล่นทำให้เด็กได้แสดงออกถึงความรู้สึกและความคิด ผ่านการสร้างจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ การเล่นยังช่วยให้เด็กเรียนรู้การควบคุมอารมณ์ และฝึกฝนการรับมือกับความล้มเหลวหรือความท้าทาย
ยกตัวอย่างกลุ่มเด็กที่มีภาวะสมาธิสั้น (ADHD) มีความจำเป็นที่ต้องกระตุ้นพัฒนาการเพื่อให้รู้จักรอคอย ยอมรับเงื่อนไขที่ตกลง รู้จักแบ่งปันและอยู่ร่วมกับผู้อื่น หรือเด็กที่มีภาวะออทิสติกในระดับที่ไม่รุนแรง ก็มีความจำเป็นที่ต้องฝึกฝนการสื่อสารและการปรับตัวเข้าหาเพื่อน สื่อสารบอกความต้องการได้ ตัวอย่างอาการข้างต้นจำเป็นต้องใช้การเล่นร่วมกันกับเพื่อนที่เป็นเด็กปกติ ดังนั้นการจัดสภาพแวดล้อมที่ทำให้เด็กที่มีความต้องพิเศษได้ใช้ชีวิตร่วมกันกับเด็กทั่วไป จึงเป็นการแทรกแซงโดยธรรมชาติที่ทำให้พวกเขาเกิดทักษะและพัฒนาการในทุกด้านอย่างเป็นองค์รวม
ยกตัวอย่างของกลุ่มเด็กที่มีความบกพร่องเฉพาะด้านในการเรียนรู้ จะมีหลักการสอนที่ใช้หลัก 3 R ได้แก่ Repetition (การทบทวน), Routine (การทำซ้ำตามกิจวัตร), และ Relaxation (การผ่อนคลาย) ซึ่งเป็นแนวทางที่สามารถช่วยให้นักเรียนหรือผู้เรียนสามารถจดจำและเข้าใจสิ่งที่เรียนได้ดีขึ้น โดยมีคำอธิบายดังนี้
1. Repetition (การทบทวน) : การทบทวนหรือทำซ้ำช่วยให้ข้อมูลหรือทักษะต่างๆ ฝังลึกในความจำ และสามารถนำไปใช้ได้ในระยะยาว ตัวอย่างเช่น การทำการบ้าน การทบทวนบทเรียน หรือการฝึกฝนซ้ำๆ เพื่อให้เกิดความชำนาญ
2. Routine (การทำซ้ำตามกิจวัตร) : การสร้างกิจวัตรประจำวันที่เชื่อมโยงกับการเรียนรู้ เช่น การเรียนรู้ทุกวันในเวลาที่แน่นอน ช่วยให้เกิดความคุ้นเคยและเพิ่มความต่อเนื่องในการเรียนรู้ ทำให้กระบวนการเรียนรู้เป็นธรรมชาติและไม่รู้สึกเหมือนภาระ
3. Relaxation (การผ่อนคลาย) : การผ่อนคลายช่วยลดความเครียดและทำให้สมองสามารถประมวลผลข้อมูลได้ดีขึ้น เช่น การฝึกหายใจลึกๆ การนั่งสมาธิ หรือการทำกิจกรรมที่ทำให้รู้สึก ผ่อนคลาย ซึ่งจะช่วยให้สามารถโฟกัสกับการเรียนรู้ได้ดีขึ้น
คุณสุธีรา ครูโรงเรียนวัดแม่แก้ดน้อย ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ว่าในสภาวะของเด็กรายบุคลลที่มีความต้องการแตกต่างกัน คุณครูถือเป็นคนที่มีบทบาทสำคัญที่ต้องคอยสังเกตุพฤติกรรม ประเมินพัฒนาการเบื้องต้น เรียนรู้และปรับตัวในการดูแลเด็กอย่างต่อเนื่อง อันดับแรกครูจำเป็นต้องทำความเข้าใจพัฒนาการตามช่วงวัยของเด็กโดยเฉพาะพัฒนาการที่สอดคล้องกับลักษณะเฉพาะของเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ หากเราสามารถเข้าใจธรรมชาติและลักษณะเฉพาะของเด็กกลุ่มนี้ได้ เราจะสามารถกำหนดแนวทางการเรียนการสอนที่เหมาะสมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้แนวทางที่จะช่วยส่งเสริมให้เกิดการดูแลเด็กอย่างรอบด้าน ครูและโรงเรียนจำเป็นต้องมีกลไกในการสร้างมีส่วนร่วมกับผู้ปกครองร่วมด้วยเพื่อให้ผู้ปกครองของเด็กได้รับรู้และเข้าใจ รวมถึงออกแบบแนวทางในการดูแลและกระตุ้นพัฒนาการให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
การเขียนแผน IEP (Individualized Education Program) และ IIP (Individual Implementation Plan) เป็นกระบวนการสำคัญในงานจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ โดยทั้งสองแผนมีบทบาทที่แตกต่างกัน แต่ทำงานร่วมกันอย่างสอดคล้องเพื่อช่วยให้เด็กสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่
แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) เป็นแผนที่ออกแบบมาเฉพาะบุคคลสำหรับเด็ก โดยมุ่งเน้นการกำหนดเป้าหมายการพัฒนาในระยะยาว ซึ่งครอบคลุมทั้งด้านวิชาการ การพัฒนาทักษะทางสังคม อารมณ์ และพฤติกรรม การจัดทำ IEP เป็นความร่วมมือระหว่างครู ผู้ปกครอง นักบำบัด และผู้เชี่ยวชาญด้านอื่นๆ เพื่อวางแผนที่เหมาะสมกับความสามารถและความต้องการของเด็กในระยะยาว องค์ประกอบสำคัญของ IEP ได้แก่ การระบุระดับพัฒนาการปัจจุบันของเด็ก เป้าหมายระยะสั้นและระยะยาว วิธีการเรียนการสอน และการประเมินผลเพื่อวัดความก้าวหน้า
ในขณะเดียวกัน แผนการจัดการเรียนการสอนเฉพาะบุคคล (IIP) เป็นแผนที่แตกย่อยจาก IEP โดยมีความละเอียดและเน้นการปฏิบัติจริงในช่วงระยะเวลาสั้น เป็นการปรับพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ในทันที เช่น รายเดือนหรือรายสัปดาห์ แผน IIP ถูกใช้เพื่อช่วยให้การดำเนินงานในห้องเรียนสอดคล้องกับเป้าหมายที่ระบุใน IEP ครูผู้สอนจะนำแผน IIP มาใช้เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เหมาะสม และทำการประเมินผลเพื่อปรับปรุงการสอนให้สอดคล้องกับความต้องการของเด็ก
แผนทั้งสองมีความสำคัญต่อเด็กในหลายมิติ ทั้งช่วยให้การเรียนการสอนตอบสนองต่อความต้องการเฉพาะบุคคล ช่วยส่งเสริมการพัฒนาทั้งด้านวิชาการ สังคม และอารมณ์ นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการพัฒนาทักษะและความสามารถในด้านที่เด็กมีศักยภาพ ทำให้เด็กสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ในแบบที่เหมาะสมนั่นเอง
เด็กที่มีความต้องการพิเศษอีกกลุ่มหนึ่งในประเทศไทยที่เรายังคงพบเจอได้ คือ กลุ่มเด็กที่มีความบกพร่องด้านการมองเห็น จากข้อมูลล่าสุดของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พบว่าประเทศไทยมีผู้พิการทุกประเภทรวมมากกว่า 2.1 ล้านคน ในจำนวนนี้มีผู้พิการทางการมองเห็นจำนวน 186,701 คน ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มผู้พิการที่ตาบอดสนิท และกลุ่มผู้พิการที่มีสายตาเลือนราง
ในประเทศไทยเด็กที่มีความบกพร่องด้านการมองเห็นยังคงเป็นกลุ่มหนึ่งที่ต้องการการสนับสนุนทางการศึกษาที่เฉพาะเจาะจง โรงเรียนธรรมิกวิทยา ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำสำหรับเด็กตาบอดโดยเฉพาะ ได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือและพัฒนาศักยภาพของเด็กกลุ่มนี้อย่างต่อเนื่อง โดยทางโรงเรียนให้ความสำคัญทั้งในด้านการเรียนรวมและการจัดการสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม
ผู้อำนวยการโรงเรียนธรรมิกวิทยา คุณกรกนก ศิริวงษ์ ได้กล่าวว่า เด็กบางส่วนที่เรียนที่โรงเรียนธรรมิกวิทยาจำเป็นต้องเข้าร่วมการเรียนรวมในโรงเรียนในละแวกใกล้เคียงเพื่อพัฒนาศักยภาพร่วมกับเด็กทั่วไป อย่างไรก็ตาม การเรียนรวมต้องอาศัยการเตรียมตัวของครูผู้สอนอย่างรอบคอบ คุณครูต้องเข้าใจความต้องการเฉพาะของนักเรียนกลุ่มนี้ และออกแบบการเรียนรู้ให้เหมาะสม เช่น การปรับเนื้อหา การใช้สื่อการสอนเฉพาะทาง และการจัดกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเด็ก
นอกจากการใช้อักษรเบรลล์ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญแล้ว การพัฒนาสื่อการเรียนการสอนที่เหมาะสมก็มีบทบาทสำคัญต่อการเรียนรู้ของเด็กตาบอด สื่อในรูปแบบภาพและเสียง เช่น รายการโทรทัศน์ที่มีระบบ Audio Description (คำบรรยายเสียงสำหรับภาพที่ปรากฏ) เป็นตัวอย่างหนึ่งของการช่วยเปิดโลกการเรียนรู้ที่หลากหลายและช่วยเสริมสร้างความเข้าใจในเนื้อหาได้มากขึ้น
โรงเรียนธรรมิกวิทยายังเน้นการออกแบบสถานที่ให้เหมาะสมกับการใช้งานของเด็กตาบอด การสร้างบรรยากาศที่ปลอดภัยและเป็นมิตรเป็นสิ่งสำคัญ การออกแบบสถานที่ตามแนวคิด Universal Design หรือการออกแบบเพื่อคนทุกคน ช่วยให้เด็กตาบอดสามารถเรียนรู้และใช้ชีวิตในโรงเรียนได้อย่างสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นการจัดห้องเรียน ทางเดิน หรือพื้นที่ส่วนกลางที่เอื้อต่อการใช้งาน
นอกจากการจัดการเรียนการสอนแล้ว บรรยากาศในโรงเรียนและสิ่งแวดล้อมรอบตัวก็มีบทบาทสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของเด็กตาบอด การมีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น เส้นทางเดินที่ชัดเจน อุปกรณ์ช่วยการเคลื่อนไหว และการปรับสภาพแวดล้อมในห้องเรียนและพื้นที่ใช้สอย ให้เหมาะสมกับความต้องการของเด็ก ตาบอด จะช่วยให้พวกเขาสามารถดำรงชีวิตและเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สุดท้ายแล้วโรงเรียนเฉพาะความพิการเป็นประตูสำคัญที่จะช่วยให้เด็กตาบอดสามารถเรียนรู้การใช้ชีวิตร่วมกันกับเด็กปกติ ส่งเสริมความเข้มแข็งทางใจ ฝึกฝนทักษะการสื่อสาร ทักษะการแก้ไขปัญหา จำลองชีวิตที่จะพบเจอเมื่อเข้าเรียนรวมและใช้ชีวิตในสังคมที่มีขนาดใหญ่และหลากหลายขึ้น ทั้งหมดนี้โรงเรียนมีหน้าที่เตรียมความพร้อมทักษะและประสบการณ์ชีวิตเพื่อให้พวกเขาอยู่ในสังคมอนาคตต่อไปได้
ประเด็นสุดท้ายครูอนุสรณ์ อดีตครูโรงเรียนชุมชนบ้านผานกเค้า ได้ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ว่า ยังมีเด็กนักเรียนที่มีความหลากหลายในบริบทชีวิตและความต้องการเฉพาะ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กเปราะบางที่เผชิญปัญหาด้านเศรษฐกิจและจิตใจ เด็กในพื้นที่ต่างจังหวัดจำนวนมากไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่ แต่เติบโตภายใต้การดูแลของปู่ย่าตายาย บางบ้านขาดแคลนทรัพยากรพื้นฐาน เช่น ไฟฟ้า หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต คุณครูอนุสรณ์ ได้เล่าถึงสถานการณ์ของนักเรียนกลุ่มนี้ว่า โรงเรียนมีบทบาทสำคัญในการเป็นพื้นที่ปลอดภัยและส่งเสริมความเป็นอยู่ของเด็กเปราะบาง โรงเรียนจัดหาอาหารเช้าให้กับนักเรียนที่ขาดแคลน เพื่อให้พวกเขามีแรงกายและกำลังใจสำหรับการเรียนรู้ ครูยังมีการเยี่ยมบ้านเพื่อติดตามดูแลสภาพความเป็นอยู่ของนักเรียน และพยายามให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมตามความจำเป็น
การสร้างบรรยากาศที่ปลอดภัยและอบอุ่นในโรงเรียนเป็นสิ่งสำคัญมาก เด็กบางคนอาจมาถึงโรงเรียนด้วยความทุกข์ใจจากปัญหาที่บ้าน คุณครูจึงมีบทบาทในการต้อนรับและทำให้พวกเขารู้สึกว่ายังมีพื้นที่ที่ยอมรับและสนับสนุนพวกเขา แม้ในวันที่พวกเขาอาจไม่พร้อมที่จะเรียน ดังนั้นการเรียนการสอนแบบมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์เพียงอย่างเดียวอาจไม่ตอบโจทย์เด็กกลุ่มนี้ เนื่องจากพวกเขามักมีปัญหาในการอ่านและเขียน หรือขาดทักษะพื้นฐานทางการศึกษา คุณครูจึงเน้นการพัฒนาทักษะชีวิต เพื่อให้เด็กสามารถดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างมีคุณภาพ การสอนแบบ PBL (Play-Based Learning, Project-Based Learning, Phenomenon-Based Learning) ที่เน้นการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ ถูกนำมาใช้เพื่อให้เด็กมีโอกาสพัฒนาทักษะและความสามารถของตนเอง โดยแบ่งการเรียนรู้ออกเป็น 4 ช่วง (Quarter) ซึ่งช่วยสร้างความต่อเนื่องและการมีส่วนร่วมในชั้นเรียน การเรียนรู้แบบกลุ่มยังช่วยให้เด็กได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และฝึกฝนทักษะการอยู่ร่วมกับผู้อื่น เพื่อนในวัยเดียวกันมีบทบาทสำคัญในการช่วยเสริมสร้างความมั่นใจและทักษะทางสังคมของเด็ก เนื่องจากเด็กส่วนใหญ่ในพื้นที่ชนบทอาจไม่ได้ศึกษาต่อในระดับสูง แต่จำเป็นต้องมีทักษะชีวิตเพียงพอที่จะช่วยให้พวกเขาดำรงชีวิตและช่วยเหลือตนเองได้ในอนาคต
นอกจากบทบาทของครูแล้ว การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาเด็ก คุณครูได้กล่าวถึงแนวทางในการดึงความร่วมมือจากผู้ปกครอง โดยเชิญผู้ปกครองเข้าร่วมในชั้นเรียนเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการสอนและการพัฒนาของโรงเรียน การมีส่วนร่วมเช่นนี้ช่วยให้ผู้ปกครองเข้าใจบทบาทของตนเองใน การสนับสนุนการเรียนรู้ของบุตรหลาน และสร้างความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างบ้านและโรงเรียน
การพัฒนาเด็กเปราะบางในพื้นที่ชนบทต้องอาศัยความร่วมมืออย่างรอบด้าน ทั้งจากครู ผู้ปกครอง และชุมชน การสร้างพื้นที่ปลอดภัย การออกแบบการเรียนการสอนที่เหมาะสม และการสนับสนุนด้านสังคมและอารมณ์ของเด็ก เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เด็กกลุ่มนี้สามารถพัฒนาศักยภาพของตนเอง และเติบโตขึ้นเป็นสมาชิกที่มีคุณค่าในสังคม