จังหวัดระยองเป็นพื้นที่สำคัญที่มีนิคมอุตสาหกรรมเกิดและขยายตัวอย่างรวดเร็ว การจัดการศึกษาที่เชื่อมโยงกับสถานประกอบการจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากสถาบันการศึกษาต้องเข้าใจถึงทักษะและคุณสมบัติที่สถานประกอบการต้องการ ปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้ชี้ให้เห็นว่าอุตสาหกรรมไม่ได้ต้องการแรงงานจำนวนมากอีกต่อไป แต่ต้องการบุคลากรที่มีทักษะ ความเข้าใจ และความชำนาญในการทำงานกับเครื่องจักรที่ทันสมัย
นอกจากนี้ข้อมูลจากภาคอุตสาหกรรมในระยองยังชี้ให้เห็นว่ามีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากกำลังทยอยเข้ามาตั้งใหม่ ซึ่งสะท้อนถึงโอกาสและการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น เพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์นี้ มีความจำเป็นอย่างมากที่ต้องเตรียมพลเมืองระยองที่มีทัศนคติและทักษะที่สอดรับกับการเปลี่ยนแปลง ในอนาคต
ปัจจุบันจังหวัดระยองเป็น 1 ใน 8 จังหวัดที่ได้รับการประกาศให้เป็นพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาตามพระราชบัญญัติพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ.2562 และแผนการพัฒนาการศึกษาตามบริบทพื้นที่จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีความร่วมมือจากทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมที่เห็นความสำคัญและร่วมกันขับเคลื่อนให้จังหวัดระยองเกิดแผนการจัดการศึกษาที่คำนึงถึงลักษณะเฉพาะของจังหวัดและความต้องการของชุมชน เพื่อให้การศึกษามีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ สร้างพลเมืองระยองสู่การเป็นพลเมืองโลกที่มีคุณภาพ เป็นต้นทุนสำคัญในการพัฒนาเมืองและประเทศต่อไป
การประกาศคุณลักษณะเด็กระยองสู่สากล เพื่อจัดการศึกษาในบริบทระยองในครั้งนี้ เป็นเวทีที่ประกาศคุณลักษณะที่สำคัญ 3 ประการ ได้แก่ ผู้ใฝ่เรียนรู้คู่ทักษะภาษา ผู้รู้ใช้เท่าทันดิจิทัล และพลเมืองโลกที่มีวินัยและจรรยา ทั้ง 3 ประการนี้เป็นหมุดหมายที่ทุกภาคส่วนจะบูรณาการความร่วมมือกันพัฒนาเด็กระยอง โดยใช้เวทีนี้สะท้อนความเข้าใจในมุมมองที่หลากหลายและชี้ให้เห็นความสำคัญของแนวคิดการพัฒนาเด็กระยองสู่สากลในมุมมองของผู้บรรยายที่เป็นตัวแทนจากหลายภาคส่วนซึ่งมีบทบาทในการขับเคลื่อนประเด็นนี้ร่วมกัน โดยสามารถสรุปใจความสำคัญของแต่ละท่านไว้ได้ ดังนี้
ปัจจุบันประเทศไทยมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) อยู่ที่ 2.1 น้อยกว่าทุกประเทศในอาเซียน เพราะผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ส่วนใหญ่อยู่ที่การส่งออก การท่องเที่ยว เมื่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ที่น้อย แล้วอะไรคือสิ่งที่จะพลิกวิกฤตนี้ให้ดีขึ้นได้
การพัฒนา Skill: กุญแจสู่การเพิ่มรายได้ของประเทศในยุค GDP ต่ำ
ในยุคที่เศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและไม่แน่นอน หลายประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหาผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ที่ลดลง ความท้าทายนี้ไม่เพียงแต่กระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยังส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชากรในระยะยาว ประเทศที่ GDP ต่ำมักเผชิญกับปัญหารายได้ไม่เพียงพอต่อการพัฒนาประเทศ แต่ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ผ่านการเพิ่มทักษะ (Skill) และการพัฒนาการศึกษาและสังคม ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศก้าวข้ามความยากลำบากนี้ได้
การเพิ่มทักษะ (Skill) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม
หนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพในการยกระดับ GDP คือการเพิ่มทักษะของแรงงานในประเทศ ทักษะที่พัฒนาขึ้นจะช่วยให้แรงงานสามารถทำงานที่มีมูลค่าสูงขึ้นและสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีคุณภาพดีขึ้น ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มรายได้ทั้งในระดับบุคคลและระดับประเทศ การพัฒนาทักษะไม่เพียงแต่เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน แต่ยังเปิดโอกาสให้แรงงานสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและตลาดแรงงานที่มีความผันผวน
การศึกษา: รากฐานของการเพิ่มทักษะ
การศึกษาคือรากฐานสำคัญในการพัฒนาทักษะ โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในทุกด้านของชีวิต การศึกษาที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับบริบทของประเทศจะช่วยเตรียมความพร้อมให้กับเยาวชนในการเข้าสู่ตลาดแรงงานที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ต้องสร้างการศึกษาที่ทำให้เด็กมีทักษะที่สอดคล้องกับตลาดแรงงานและสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ได้ตลอดเวลาเพื่อปรับตัวในสถานการณ์อนาคตที่อาจเกิดการเปลี่ยนแปลง
ในโลกปัจจุบันหากเปรียบเปรยเป็นปลาในทะเล คงไม่ใช่แนวคิดปลาใหญ่กินปลาเล็กอีกต่อไป แต่เป็นปลาที่ว่ายน้ำไวกว่ามักได้เปรียบ จังหวัดระยองได้เริ่มต้นออกแบบแนวทางการจัดการศึกษาในบริบทของตนเองเป็นพื้นที่แรก ๆ ในประเทศไทย การที่จะสร้างการศึกษาเพื่อพัฒนาเด็กระยองได้นั้น ต้องอาศัยการบูรณาการความร่วมมือของทุกคนที่อยู่ในบทบาทที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น คุณครู ผู้อำนวยการ ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ผู้บริหารและขับเคลื่อนระดับจังหวัด นักการศึกษา นักวิจัย กลุ่มธุรกิจ มาบูรณาการความรู้ความสามารถของตนเองเพื่อประกอบสร้างเป็นแนวทางการจัดการศึกษาที่จะนำพาเด็กระยองสู่การเป็นพลเมืองโลกต่อไปในอนาคต
การศึกษาไทย: พลิกโฉมด้วยการออกแบบตามความต้องการในพื้นที่
เมื่อระบบการศึกษาในประเทศไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แนวคิด “One size fits all” หรือการใช้รูปแบบการศึกษาเดียวกันทั่วประเทศไม่สามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของประชากรได้อีกต่อไป
ตัวอย่างความสำเร็จของการออกแบบนโยบายเชิงพื้นที่
จุดเริ่มต้นของโมเดลโอทอป (OTOP) คือเมืองโออิตะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเดิมเป็นแนวคิดที่นำไปใช้ในเมืองเล็กๆ ที่ล้าสมัย ประกอบกับบทบาทของผู้ว่าราชการจังหวัด คุณโมริฮิโกะมีแนวคิดสร้างเมืองเสรี ไร้พรมแดน ให้คุณค่ากับการการพึ่งพาตนเอง ไม่รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลกลาง จากแนวคิดดังกล่าวส่งผลให้การพัฒนานี้ เปลี่ยนแปลงเมืองให้เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจผ่านการสร้างผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์และคุณภาพสูง สร้างมูลค่าให้กับสินค้าและเมืองพร้อมทั้งรายได้ให้ประชากรของตนเอง
การจัดการศึกษาโดยท้องถิ่นเพิ่มคุณภาพการศึกษาได้อย่างไร
ข้อดีของการบริหารงานโดยท้องถิ่นทำให้ห่างไกลจากการออกแบบทุกอย่างแบบ “One size fits all” ออกแบบตามสถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่พร้อมกับการสร้างการมีส่วนร่วมดึงทุกภาคส่วนมาออกแบบร่วมกัน จะช่วยให้สามารถแก้ไขปัญหาแบบองค์รวมได้ การศึกษาก็เช่นเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องจัดการศึกษาแบบเดียวกันทุกพื้นที่แต่ควรออกแบบหลักสูตรที่สอดคล้องกับอาชีพและความต้องการเฉพาะของแต่ละภูมิภาค ข้อดีของการจัดการศึกษาโดยท้องถิ่นช่วยให้มีหลักสูตรหรือแนวทางการสอนที่ตรงกับความต้องการของพื้นที่และชุมชน มีงบประมาณเพิ่มเติมและอิสระในการบริหารจัดการ มีคณะกรรมการสถานศึกษาที่คนในท้องถิ่นมีส่วนร่วมได้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น การกระจายอำนาจการคลังช่วยเพิ่มการลงทุนด้านการศึกษาของแต่ละท้องถิ่น ส่งผลให้คะแนนวัดระดับ PISA ของเด็กในท้องถิ่นนั้นเพิ่มขึ้น หรือ อบจ.เชียงใหม่ในท้องถิ่นมีต้นทุนเรื่องหนอนไหม มีอาชีพทอและขายผ้าไหม การสอนในโรงเรียนเน้นให้เด็กมีอาชีพด้วยก็คือนำเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตและการประกอบอาชีพมาสอน เด็กจึงจะเห็นความสำคัญและรู้ว่าตนเองเรียนเรื่องนี้ไปทำไมและนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร
แน่นอนว่าฝันของเด็กหลายคนย่อมแตกต่างกัน ทุกคนสามารถประกอบอาชีพที่ฝันและตั้งใจได้ หากมีการศึกษาที่นำทางและบ่มเพาะความตั้งใจเหล่านั้นของเด็กๆ การศึกษาจึงต้องตอบสนองต่อความหลากหลายของผู้เรียนและการจัดการศึกษาตามบริบทพื้นกลายเป็นกุญแจสำคัญที่เพิ่มความเป็นไปได้ให้ทุกคนได้ทำตามฝันมากขึ้น
ระยอง: เมืองอุตสาหกรรมเชื่อมโลก
จังหวัดระยองเป็นเมืองที่มีลักษณะพิเศษเมื่อเทียบกับจังหวัดอื่น ๆ ในประเทศ เพราะเป็นจังหวัดที่เป็นฐานอุตสาหกรรมแหล่งใหญ่เป็นอับดับแรกของประเทศไทย ถือเป็นศูนย์กลางของพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียบเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ Eastern Economic Corridor (EEC) ส่งผลให้เมืองต้องการแรงงานหรือพลเมืองที่มีความเฉพาะทางทั้งในด้านทักษะและองค์ความรู้ ดังนั้นการศึกษาแบบดั้งเดิมที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันไม่สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของคนในแต่ละพื้นที่และบริบทของเมือง ส่งผลให้คุณภาพการศึกษาตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง
การศึกษาที่มีอยู่ในปัจจุบันเน้นการท่องจำและเป็นหลักสูตรที่ล้าสมัย ไม่ได้ตอบโจทย์ความต้องการของคนในยุคปัจจุบัน เช่น การเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ที่ไปมุ่งเน้นเรื่องบุคคล เวลา ยุคสมัยและเหตุการณ์ มากกว่าการสอนให้เด็กทำความเข้าใจที่มาและบริบทที่นำมาซึ่งการตัดสินใจของคนในยุคสมัยนั้น ซึ่งเป็นประเด็นที่เด็กควรได้ขบคิด ค้นคว้าอย่างมากมายเพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดขั้นสูง เป็นต้น หลักสูตรเดิมของเราต้องได้รับการแก้ไขให้เป็นหลักสูตรฐานสมรรถนะ (Competency-based Curriculum) มากขึ้น ประเทศไทยยังต้องขับเคลื่อนประเด็นการพัฒนาหลักสูตรอีกต่อไปเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของบริบทโลก
ระยองกับการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่
จังหวัดระยองเป็นตัวอย่างที่ดีของการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่ โดยการปรับใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะ (Competency-based Curriculum) ที่เน้นการพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่ออุตสาหกรรมในพื้นที่ ความร่วมมือระหว่างหลายองค์กรในระยองได้สร้างต้นแบบให้กับประเทศไทย โดยการออกแบบหลักสูตรการศึกษาที่ตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งสามารถทำให้ระยองกลายเป็นศูนย์อุตสาหกรรมระดับโลกได้
วิธีการประเมินผลการเรียนรู้แบบใหม่ในระยองยังเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่น่าสนใจ โดยการนำสถานการณ์จริงมาจำลองในข้อสอบ แล้วให้ผู้เรียนได้แก้ไขปัญหานั้นๆ ในบางโรงเรียนสามารถประเมินผลนักเรียนได้สอดคล้องหลักสูตรฐานสมรรถนะครบถ้วนทุกฐานเป็นตัวอย่างที่นำร่องให้โรงเรียนอื่นๆ ดำเนินตามกันไป นอกจากนี้จังหวัดระยองยังเป็นผู้ริเริ่มทำระบบการรับรองและการประกันคุณภาพภายนอก โดยมีกระบวนการที่ครอบคลุมทั้งการสัมภาษณ์ผู้อำนวยการค ครู นักเรียน ดูชิ้นงานนักเรียน เป็นต้น ที่เป็นตัวชี้วัดคุณภาพของการจัดการศึกษาว่าได้มาตรฐานเพียงพอจริงหรือไม่
กลยุทธ์เชิงพื้นที่เหล่านี้ นอกจากจะช่วยให้การเรียนรู้มีความหมายและเกี่ยวข้องกับชีวิตจริงมากขึ้นแล้ว ยังเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับผู้เรียนในการเผชิญกับความท้าทายในโลกแห่งความจริง
ภาคีที่เห็นความสำคัญของการศึกษา
สำหรับจังหวัดระยองการพัฒนาเชิงพื้นที่นี้ไม่ได้เป็นหน้าที่ของภาครัฐเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องการความร่วมมือจากภาคเอกชนและองค์กรต่างๆ ที่เห็นความสำคัญของการศึกษา ภาคีที่เกี่ยวข้องสามารถร่วมมือกันเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศและโลกในอนาคต การศึกษาในประเทศไทยต้องมีการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความ ท้าทายและโอกาสที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ และเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะยาว ยกตัวอย่างกิจกรรมที่สะท้อนให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมของมหาวิทยาหอการค้าไทยและกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ได้แก่ การเริ่มต้นกองทุนเพื่อพัฒนาพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาในจังหวัดระยอง ซึ่งทำให้เกิดการหมุนเวียนเงินบริจาคไปยังกลุ่มที่ต้องการและผู้บริจาคสามารถนำไปหย่อนภาษีได้ถึง 2 เท่า เป็นต้น
จุดแข็งในการพัฒนาการศึกษาเชิงพื้นที่ของระยอง นอกจากการปรับรูปแบบการเรียนการสอน การกำหนดหลักสูตรที่สอดคล้องกับทักษะในอนาคต การพัฒนาเครื่องมือวัดและประเมินผลที่เชื่อมโลกจริงและความร่วมมือของทุกภาคส่วนแล้วนั้น ทุกคนรู้ว่าสิ่งที่กำลังทำอาจไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็พร้อมจะลงทุน ลงแรง เรียนรู้และพัฒนาการศึกษาในพื้นที่อย่างต่อเนื่องเพื่อเป้าหมายเดียวกันที่มุ่งหวัง
เนื่องจากจังหวัดระยองได้รับการประกาศจากรัฐบาลเป็นพื้นที่นวัตกรรมทางการศึกษา เราจึงมุ่งเน้นขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้านการจัดการศึกษาที่หลากหลายและครอบคลุมทุกกลุ่ม ไม่ใช่แค่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง จะทำอย่างไรให้การศึกษาไม่เลือกพัฒนาเด็กให้เป็นอัจฉริยะด้านเดียว สิ่งสำคัญในกระบวนการพัฒนาทุนมนุษย์ไม่ใช่แค่การสร้างความรู้ใหม่แต่ยังรวมถึงการเรียนรู้จากภูมิปัญญาของ บรรพบุรุษ
สมัยก่อนบริบทพื้นที่ไม่สามารถจัดการศึกษาเพื่อตอบโจทย์กับค่านิยมของคนระยองที่ต้องการให้บุตรหลานได้เรียนโรงเรียนที่มีคุณภาพ ต่อยอดโอกาสทางการศึกษาได้ต่อเนื่อง จึงเกิดปรากฏการณ์ส่งบุตรหลานเข้าไปเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงต่างถิ่น แต่ในปัจจุบันที่ทุกคนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ ก็เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาที่ดีและตอบโจทย์กับความต้องการได้มากขึ้น ดังจะเห็นในปรากฏการณ์ของโรคระบาด Covid-19 เด็กสามารถเรียนออนไลน์อยู่ที่บ้านได้ เรียนรู้ผ่านคอมพิวเตอร์ เด็กเรียนที่ไหนก็ได้ยิ่งทำให้ตระหนักได้ว่าการการจัดการศึกษาในพื้นที่เป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนเพื่อคืนเด็กกลับมาในอยู่ในชุมชนและสังคม
ประกอบกับจังหวัดระยองได้ก้าวขึ้นเป็นจังหวัดที่มี GDP สูงที่สุดในประเทศ ซึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนาที่ครอบคลุมทั้งในด้านอุตสาหกรรมและทรัพยากรมนุษย์ การเติบโตทางเศรษฐกิจที่มั่นคงนี้มีผลโดยตรงในการลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น ความยากจนก็ลดน้อยลง ส่งผลให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในระดับจังหวัดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้ครอบครัวสามารถหันมาให้คุณค่ากับการออกแบบและจัดการศึกษาให้บุตรหลานร่วมกัน
จากความจำเป็นและต้นทุนทางสังคมที่กล่าวไว้ในข้างต้น การที่เราจะกำหนดคุณลักษณะของเด็กได้สำเร็จ ต้องอาศัยกระบวนการในการสอบถามและรวบรวมความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของผู้ที่อยู่ในจังหวัดระยอง รวมไปถึงนักขับเคลื่อนนโยบายด้านการศึกษาในทุกภาคส่วน โดยการกำหนดคุณลักษณะผู้เรียนระยองสู่สากลสามารถสรุปได้ใน 3 ด้าน อันประกอบด้วย
1. ผู้ใฝ่เรียนรู้คู่ทักษะภาษา (Active Learner)ผู้ใฝ่เรียนรู้และมีทักษะภาษาเพื่อพัฒนาสร้างสรรค์ ต่อยอดองค์ความรู้ของจังหวัดระยองต่อไป การสร้างนักเรียนรู้ที่พร้อมปรับตัวได้กับทุกเปลี่ยนแปลง หากมีทักษะด้านภาษาที่หลากหลาย ก็ยิ่งช่วยให้เพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพและดำเนินชีวิตได้อย่างราบรื่น สร้างการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจในระดับชุมชนและจังหวัดระยอง
2. ผู้รู้ใช้เท่าทันดิจิทัล (Digital Literacy)ผู้รู้ใช้ดิจิทัลสามารถมีหลักคิดในการวิพากษ์และเท่าทันโลกดิจิทัล ใช้เทคโนโลยีตามแนวทางที่เหมาะสม ส่งเสริมการเรียนรู้ สร้างงานสร้างอาชีพ ไม่หลงเชื่ออะไรโดยง่าย
3. พลเมืองโลกที่มีวินัยและจริยธรรม (Global & Ethical Citizen)ผู้มีวินัย รับผิดชอบต่อตนเอง สังคม และสิ่งแวดล้อมร่วมกันพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อให้เป็นเป้าหมายในการจัดการศึกษาในบริบทระยอง ร่วมสร้างจังหวัดระยองให้เป็นเมืองน่าอยู่ด้านการศึกษา และเป็นต้นแบบในการผลิตพัฒนากำลังคนสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม
จังหวัดระยองถือเป็นต้นแบบที่ประสบความสำเร็จในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา สามารถกล่าวได้ว่า “จังหวัดระยองเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนนวัตกรรมการศึกษา หากใครต้องการศึกษาดูงาน สามารถมาดูตัวอย่างที่ระยองได้” สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาที่เริ่มต้นมาด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ โดยมีวัตถุประสงค์หลักของพื้นที่นวัตกรรมการศึกษามีอยู่ 4 ประการ คือ
1. การยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาโดยเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาในแต่ละพื้นที่ ให้เหมาะสมกับบริบทที่แตกต่างกัน
2. การลดความเหลื่อมล้ำโดยจัดการศึกษาให้ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกันในการเรียนรู้
3. การให้อิสระในการคิดและปฏิบัติเพื่อให้การศึกษามีความคล่องตัวและมีความคิดสร้างสรรค์
4. การสร้างกลไกความร่วมมือระหว่างภาคีต่าง ๆเพื่อให้การขับเคลื่อนนวัตกรรมการศึกษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
สอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปหน่วยงานทางการศึกษาที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้เสนอไว้ ซึ่งกล่าวว่า “เราจะเป็นม้าที่ลงจากหลังเต่า” นั้น ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการลดข้อจำกัดทางกฎระเบียบ เพื่อให้การดำเนินงานสามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยรัฐมนตรีมุ่งหวังให้ระบบการศึกษาของประเทศพัฒนาไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิผล ผ่านการปรับปรุงหลักสูตรให้ทันสมัย การนำเทคโนโลยีมาใช้ในห้องเรียน การพัฒนาทักษะครูและบุคลากร การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน และการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อให้ระบบการศึกษาไม่ล้าหลังและสามารถตอบสนองต่อความต้องการของนักเรียนในยุคปัจจุบันได้อย่างแท้จริง
การขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญที่เน้นการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำ และพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน โดยมีประเด็นหลักดังนี้ :
พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา:เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาการศึกษาให้มีความยืดหยุ่นและตอบสนองต่อความต้องการของท้องถิ่นได้ดียิ่งขึ้นความร่วมมือ:การทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนเป็นสิ่งจำเป็นในการขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมให้ประสบความสำเร็จเทคโนโลยี:การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเรียนการสอนเป็นสิ่งสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำและพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนคุณครู:ครูมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาผู้เรียนทั้งในด้านวิชาการและคุณธรรม จึงต้องได้รับการพัฒนาทักษะและความรู้ของคุณครูอย่างต่อเนื่องการประเมินการประเมินผลเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อนำไปสู่การปรับปรุงและพัฒนาการศึกษาอย่างต่อเนื่อง โดยการนำกระบวนการวิจัยมาใช้ในการศึกษาสภาวะ Aging and Digitalization ในประเทศไทย
ในยุคปัจจุบันคำถามสำคัญคือ “อะไรที่จะทำให้มนุษย์เหนือว่าหุ่นยนต์” ในขณะเดียวกันเรากำลังเผชิญหน้ากับ Aging and Digitalization โครงสร้างประชากรทั่วโลกและประเทศไทยกำลังเปลี่ยนไปเป็นสังคมผู้สูงอายุ ในความแตกต่างของอายุอาจทำให้กลุ่มคนในสังคมเกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างวัย แต่ประเทศไทยมีวัฒนธรรมของในการอยู่ร่วมกันแบบพึ่งพาอาศัย เอื้ออาทร ล้วนแล้วแต่เป็นคุณธรรมที่สัมผัสได้ ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งปัน การให้ การดูแลเพื่อนร่วมสังคมในยามวิกฤต เป็นสิ่งที่คนไทยได้รับการปลูกฝังและส่งต่อกันมาจนกลายเป็นวัฒนธรรม
คุณธรรมเป็นพฤติกรรมที่จับต้องได้ หากมีกระบวนการในการเรียนรู้ให้เด็กได้ซึมซับเรื่องคุณธรรม เกิดเป็นความรู้สึกดีมีคุณค่าได้ต่อเนื่องจนกลายเป็นนิสัย แม้เจอปัญหาอุปสรรค ความยากลำบาก ก็สามารถก้าวข้ามและไม่ท้อถอยต่อปัญหาที่อยู่ตรงหน้า การพัฒนาประชากรที่มีคุณธรรมเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างสังคมที่ยั่งยืนและมีความสุข การส่งเสริมคุณธรรมในทุกมิติของชีวิตจนกลายเป็นนิสัย ไม่เพียงแต่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำและความขัดแย้งในสังคม แต่ยังเป็นการเตรียมความพร้อมให้พลเมืองสามารถอยู่ร่วมกันได้ในสังคมโลกอย่างมีความสุขและเป็นธรรม
คุณธรรมกับการพัฒนาเด็กและเยาวชนในปัจจุบัน
ดัชนีคุณธรรมกลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการวัดและประเมินคุณธรรมในระดับบุคคลและสังคม ผลการสำรวจที่น่าสนใจมันคือคนที่จบปริญญาเอกมีคุณธรรมต่ำกว่าคนจบปริญญาตรี สะท้อนให้เกิดคำถามว่าทำไมคนที่มีการศึกษาในระดับที่ดีถึงมีคุณธรรมที่สวนทาง อีกผลสำรวจวเป็นการวัดและประเมินเด็กและเยาวชนที่มีอายุ 13 – 25 ปี ในประเด็น 5 ด้าน ได้แก่ ความพอเพียง การมีวินัยและความรับผิดชอบ ความสุจริต การมีจิตอาสา และความกตัญญู พบว่า ประเด็นที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือความซื่อสัตย์สุจริต ผลสำรวจในวัยผู้ใหญ่ก็สะท้อนให้เห็นประเด็นด้านคุณธรรมที่เปราะบาง เช่น หากมีใครมอบสิ่งที่ดีหรือทำดีให้ ไม่จำเป็นต้องขอบคุณผู้นั้น หรือการมีหนี้สินแบบขาดการประเมินตนเอง
นอกจากนี้ยังการสำรวจ Life Assets หรือต้นทุนชีวิตที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตเด็ก ข้อค้นพบหักล้างทุกความเชื่อเดิมและสมมติฐานบางเรื่องที่ว่า ถึงพ่อแม่จะมีการศึกษาดี มีความสมบูรณ์พร้อมแต่เลี้ยงลูกให้มีต้นทุนชีวิตต่ำ ก็มีความเสี่ยงที่ลูกจะติดยาเสพติด 3 -10 เท่า จากข้อเท็จจริงดังกล่าว เกิดเป็นข้อเสนอเชิงนโยบาย 4 ต้อง สำหรับการป้องกันยาเสพติดในวัยรุ่นและเยาวชน กล่าวคือ ต้องมีอนาคต ต้องมีคุณค่า ต้องมีทักษะ และต้องมีแบบอย่าง ถึงจะช่วยให้เด็กและเยาวชนเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ
รวมไปถึงสถานการณ์ด้านทุนชีวิตที่เป็นพลังบวกของเด็กไทยน่าเป็นห่วงทุกระดับและทุกจังหวัด โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร ยิ่งสะท้อนภาพให้เห็นชัดเจนว่าปัจจัยเรื่องต้นทุนชีวิตเป็นส่งผลในการกำหนดทิศทางการเติบโตของเด็กและเยาวชนเป็นอย่างมาก จึงขอสรุปเป็นกระบวนทัศน์ใหม่ของการพัฒนาเด็กและเยาวชนให้กลายเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ คือต้องพัฒนาคนดีให้ได้ก่อนเป็นคนเก่ง มีทักษะสังคมและจิตสำนึก ประกอบกับการเรียนรู้เพื่อมุ่งสู่อาชีพ มีคุณธรรมเป็นรากฐานแห่งชีวิต ได้แก่ ความพอเพียง การมีวินัยและความรับผิดชอบ ความสุจริต การมีจิตอาสา และความกตัญญู ถือโอกาสนี้แบ่งปัน Model : I am I have I can การใช้ทุนชีวิตเป็นกงล้อและมอบภูมิคุ้มกันที่ท้าทายเพื่อเพิ่มทักษะ Resilience ในเด็กและเยาวชน ความยืดหยุ่นเกิดได้ถ้าพวกเขาเจอปัญหาที่ท้าทายและมีโอกาสได้ลองจัดการสิ่งเหล่านั้นด้วยตนเอง
การเตรียมพลเมืองให้มีความเข้าใจในบริบทและความท้าทายของโลกยุคใหม่ เป็นการสร้างรากฐานให้พลเมืองสามารถมีส่วนร่วมในสังคมโลกได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น การพัฒนาพลเมืองโลกไม่ใช่แค่การเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของประเทศต่าง ๆ แต่ยังเป็นการปลูกฝังคุณค่าทางจริยธรรมที่สำคัญเพื่อให้ทุกคนมีต้นทุนชีวิตและทักษะทางสังคมที่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของสถานที่นั้นอย่างราบรื่นและมีความสุข เป็นคุณลักษณะสำคัญที่ควรมีอยู่ในการสร้างพลเมือง
การที่ระยองกลายเป็นจังหวัดต้นแบบในการพัฒนาการศึกษาและนวัตกรรมไม่ใช่เพียงแค่ผลลัพธ์ของการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดของทุกภาคส่วนในจังหวัด แต่ยังเป็นผลมาจากความสามารถในการดึงดูดความร่วมมือจากหน่วยงานภายนอกอีกด้วย การสร้างความเข้าใจและการมองภาพการพัฒนาที่ตรงกันระหว่างผู้บริหารสถานศึกษา รวมถึงการใช้กลไกประชาสังคมในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ
กลไกประชาสังคมในระยอง: การทำงานร่วมกันเพื่อความสำเร็จ
การพัฒนาในระดับท้องถิ่นไม่สามารถประสบความสำเร็จได้หากกลไกประชาสังคมในพื้นที่ไม่ยอมรับ ไม่เข้าใจ หรือเห็นภาพการพัฒนาต่างกัน ความขัดแย้งนี้อาจเป็นเสมือนเบรกที่ทำให้ "รถไฟ" แห่งการพัฒนาช้าลง การเห็นเป้าหมายตรงกัน ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดและมีการสื่อสารที่ชัดเจนจึงเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างทุกภาคส่วน
ข้อได้เปรียบของระยอง: ความร่วมมือจากหน่วยงานภายนอก
หนึ่งในข้อได้เปรียบของจังหวัดระยองคือความสามารถในการดึงดูดหน่วยงานและองค์กรจากภายนอกจังหวัดเข้ามาร่วมมือกันในการพัฒนาการศึกษาและนวัตกรรมใหม่ๆ ความร่วมมือนี้เปิดโอกาสให้ระยองสามารถนำความรู้และทรัพยากรจากภายนอกมาปรับใช้กับบริบทของพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การพัฒนาการศึกษาในระดับพื้นที่ต้องอาศัยความเข้าใจที่ตรงกันระหว่างผู้บริหารสถานศึกษา หากผู้บริหารมองภาพการพัฒนาไม่ตรงกัน การทำงานร่วมกันจะเป็นเรื่องยากและอาจส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนนวัตกรรมในพื้นที่ ดังนั้น การสร้างความเข้าใจและวิสัยทัศน์ร่วมกันระหว่างผู้บริหารและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้การพัฒนาประสบความสำเร็จ ภาพฝันที่สถาบัน RILA มีคือ เราอยากเห็นเด็กระยองจบไปเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยที่อยู่ในหน่วยงานระดับโลก เมื่อไปเติบโตในต่างประเทศพวกเขายังสามารถเล่าเรื่องราวสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดระยองได้อย่างครบถ้วน พูดสื่อสารและเข้าใจความเป็นระยองอย่างดี เข้าใจรากฐานของตนเองและต่อยอดสิ่งที่มีในตนเองอย่างสร้างสรรค์ ความยั่งยืนคือ ความพอเพียงและริเริ่มคิดค้นจากตนเอง สิ่งเหล่านี้คือ DNA ที่จะติดตัวลูกหลานของคนระยอง
ผลประโยชน์ที่จะกลับไปคืนสู่ทุกคนคือสังคมที่มีคุณภาพ เราจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุที่มีคุณภาพ เด็กและเยาวชนในจังหวัดระยองจะเป็นผลผลิตที่ดีจากการพัฒนาผ่านพื้นที่นวัตกรรม หากได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสม เด็กเหล่านี้จะเติบโตขึ้นเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ ดูแลตนเอง ดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ และมีทักษะที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดงานทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับโลก ขับเคลื่อนสังคมและเศรษฐกิจต่อไปอย่างยั่งยืน
1. รศ.ประภาภัทร นิยม อธิการบดีสถาบันอาศรมศิลป์
2. รศ.ดร. ปัทมาวดี โพชนุกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม
3. ดร.พิทักษ์ โสตถยาคม ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา (สพฐ.)
4. คุณสลารีวรรณ ทัพทวี รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง
5. คุณสมศักดิ์ พะเนียงทอง ผู้อำนวยการสถาบันการเรียนรู้ของคนทุกช่วงวัยจังหวัดระยอง
6. คุณปรัชญา สมะลาภา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย
คุณสมศักดิ์ พะเนียงทอง ผู้อำนวยการสถาบันการเรียนรู้ของคนทุกช่วงวัยจังหวัดระยองทำไมต้องเกิดการกำหนดคุณลักษณะของเด็กระยอง ก่อนหน้านี้เรามีพื้นที่นวัตกรรมที่เป็น Sandbox เป็นพื้นที่ที่ทุกคนสมัครใจและมีความพร้อม ในปี 2561 เรามีการวางกรอบพัฒนาการศึกษาของคนทุกช่วงวัย แต่ในระหว่างทางเกิดข้อถกเถียงว่าเป้าหมายของการทำสิ่งนี้คืออะไร หัวใจของการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่ ต้องทำให้ทุกภาคส่วนเห็น
ในขณะเดียวกันพรบ.นวัตกรรมการศึกษาก็ทำงานด้วยตัวของมัน เกิดการกระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่น ให้ท้องถิ่นมีบทบาทและอำนาจในการจัดการตนเองให้เหมาะสมกับบริบทในพื้นที่ เป้าหมายมีภาพฝันที่ชัดเจนร่วมกันก่อน พอลงไปทำความเข้าใจความต้องการของคนระยองจริง ๆ พบว่าคนระยองไม่ได้ต้องการให้ลูกหลานเก่งแต่ด้านองค์ความรู้ แต่ต้องการให้พวกเขาเป็นคนดีมากกว่าที่จะเป็นคนเก่ง มีคุณธรรมและจริยธรรม ทำให้หันกลับมามองทิศทางของการพัฒนาที่คำนึงถึงบริบทของคนระยอง นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงบริบทการศึกษาที่จะไปสู่ระดับสากลด้วย ต้องรอบด้านและครอบคลุม ในยุคสมัยนี้ต้องการเด็กที่มีทักษะคิดเชิงวิพากษ์ กล้าตั้งคำถาม รู้เท่าทันสิ่งต่างๆ และทักษะการจัดการอารมณ์และสังคม จึงเกิดเป็นการผนวกเอาความต้องการของคนระยองและทักษะที่จำเป็นในอนาคต นี้จึงเป็นที่มาของการกำหนดคุณลักษณะเด็กระยองสู่ส่ากลที่เกิดจากระบวนการการมีส่วนร่วมตั้งแต่เด็กและเยาวชน สถาบันครอบครัว ผู้ประกอบการ และทุกภาคส่วนในสังคมร่วมกันคิดและออกแบบร่วมกัน
หากพูดถึงแนวคิดคนระยอง นอกจากคนดั้งเดิมที่อาศัยในพื้นที่มาอย่างยาวนาน เราต้องไม่ลืมว่าคนที่ย้ายถิ่นฐานเข้ามาก็เป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดระยองเหมือนกัน และเราไม่ได้เลือกจะพัฒนาแค่กลุ่มเดียว แต่เราอยากให้คนทุกช่วงวัยได้เข้าถึงการศึกษาที่ตอบโจทย์ชีวิต ปฐมวัยเน้นปูพื้นฐานการเรียน วัยเรียนก็เรียนอย่างเข้มข้น วัยทำงานต้องมีการเพิ่มทักษะและอัพเดททักษะใหม่ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ในการทำงาน วัยผู้สูงอายุเรียนอย่างมีความสุข ดังนั้น กลุ่มเป้าหมายจะไม่ใช่คนใดคนนึงแต่เป็นทุกคนทุกช่วงวัยที่อาศัยอยู่ในจังหวัดระยองนั่นเอง
คุณปรัชญา สมะลาภา รองประธานกรรมการหอการค้าไทยสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ส่วนแรกจากสถานการณ์เด็กเกิดใหม่มีระดับ IQ อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานและสูงกว่าเกณฑ์ สะท้อนให้เห็นว่าเด็กไทยมีต้นทุนที่ดีในเรียนรู้และเติบโต แต่ในขณะเดียวกันสถานการณ์ระดับการศึกษาไทยในระดับโลกไม่ค่อยดีและมีแนวโน้มแย่ลง ใน 2 ข้อเท็จจริงที่กล่าวมานี้สะท้อนให้เห็นถึงระบบการศึกษาที่มีกำลังทำร้ายเด็กและเยาวชนของตัวเอง
ส่วนถัดมาคุณภาพการศึกษาสอดคล้องกับระดับรายได้ของคน ถ้าปรับคุณภาพการศึกษาได้ จะช่วยเพิ่มมูลค่าแรงงาน คนในสังคมจะสามารถมีรายได้เพิ่มขึ้นเดือนละ 6,000 บาท นอกจากนี้ระยองยังมีกฎหมายพื้นที่นวัตกรรม เป็นกฎหมายพิเศษที่ทำให้เราปรับปรุงการศึกษาของตัวเองได้และทุกองคาพยพมีความต้องการในการพัฒนาการศึกษาของจังหวัดระยองร่วมกัน สถานการณ์และปัจจัยเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญที่มีผลต่อการจัดการศึกษาในบริบทระยอง
ภาพรวมการเข้ามาลงทุนของประเทศไทยมีความท้าทายอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากขาดบุคลากรที่มีความรู้และความสามารถเพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการของตลาดงาน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต้องการทักษะเฉพาะทางมากขึ้น ส่งผลให้ต่างชาติไม่สนใจมาลงทุนในประเทศไทย และมีโรงงานอุตสาหกรรมย้ายฐานการผลิตออกไปนอกประเทศจำนวนมาก
ในขณะที่หน่วยงานต่างๆ ในระยองได้เห็นพ้องต้องกันถึงความสำคัญของการใช้ "กฎหมายพื้นที่นวัตกรรม" เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาการศึกษาและนวัตกรรมที่สอดคล้องกับความต้องการของท้องถิ่น ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษาและกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว
คุณสลารีวรรณ ทัพทวี รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยองในฐานะที่ขับเคลื่อนประเด็นนี้ สิ่งที่ควรทำลำดับต้น ๆ คือ การเป็นประภาคารส่องแสงนำทางผ่านการสร้างพื้นที่และโอกาสให้ทุกองคาพยพมีส่วนร่วมในการออกแบบร่วมกัน ไม่อยากให้มองแค่ระดับผู้บริหารและนโยบายแต่มุ่งเน้นไปยังการมีส่วนร่วมของคนทุกระดับ เมื่อเห็นภาพชัดเจนสอดคล้องตรงกัน จะกลายเป็นพลังที่เข้มแข็งเกิดการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง
ดร.พิทักษ์ โสตถยาคม ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา (สพฐ.)ก่อนหน้านี้การพัฒนาระยองอาจมีเป้าหมายที่ไม่ชัดเจนมาก แต่ในปัจจุบันเป้าหมายเหล่านั้นได้ถูกกำหนดอย่างชัดเจนแล้ว ปัจจัยสำคัญในการเปลี่ยนแปลงนี้คือการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคม ซึ่งทุกคนได้รู้สึกเป็นเจ้าของร่วมกัน เมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจน องค์ประกอบที่ ดร.สาธิตพูดไว้ว่าผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวขบวนเป็นคนกำหนดทิศทางชัดเจนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงสามารถนำไปออกแบบและกำหนดในหลักสูตรการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ การออกแบบระบบและกลไกการศึกษาที่สอดคล้องกับเป้าหมายเหล่านี้ จะช่วยให้ระยองสามารถพัฒนาการศึกษาได้ตรงตามความต้องการของท้องถิ่น การมีองค์ประกอบในการพัฒนาที่ครบถ้วนและทุกภาคส่วนมีความพร้อม เราคงจะได้เห็นความก้าวหน้าของขบวนรถไฟนี้ในอนาคตอันใกล้ไม่ช้าก็เร็ว นอกจากนี้ยังสามารถใช้ประโยชน์จากเงื่อนไขของพรบ.พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาในทิศทางที่เหมาะสมและยั่งยืนต่อไป
รศ.ประภาภัทร นิยม อธิการบดีสถาบันอาศรมศิลป์อะไรคือปัจจัยที่จะเชื่อมให้คนทำงานภาคนโยบายและภาคปฏิบัติ อาจกล่าวได้ว่าจังหวัดระยองเผชิญกับเงื่อนไขที่ท้าทายสูงมากในการพัฒนา หากระยองสามารถประสบความสำเร็จได้ จังหวัดอื่นๆ ในประเทศไทยก็ย่อมทำได้เช่นกัน แต่คำถามสำคัญคือ "เชื้อเพลิง" ที่จะขับเคลื่อนความสำเร็จนี้คืออะไร? คำตอบอยู่ที่กลไกเล็กๆ เชื้อเพลิงภายในที่สำคัญที่สุดคือการสร้างแรงบันดาลใจในเด็ก ซึ่งขึ้นอยู่กับครู พ่อแม่ และผู้อำนวยการโรงเรียน หากผู้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ชิดเด็กมีทัศนคติและพฤติกรรมเชิงบวก เด็กก็จะได้รับอิทธิพลและเติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพตามแบบอย่างที่เห็น คำถามสำคัญของประเด็นนี้คือเราเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณลักษณะแบบที่เราต้องการได้หรือยัง เมื่อผู้ใหญ่เริ่มทำได้เด็กและเยาวชนก็เกิดการเรียนรู้และบ่มเพาะตนเองอย่างเป็นธรรมชาติ
รศ. ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมด้วยความเชื่อร่วมกันว่าถ้าไม่มีการจัดการการศึกษาเชิงพื้นที่ ไม่สามารถทำให้สิ่งนี้เข้าถึงตัวเด็ก การศึกษาจะไม่มีทางเป็นเครื่องมือที่ยกระดับศักยภาพของเยาวชนได้เลย จนได้มีโอกาสเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการร่าง พรบ.นวัตกรรมการศึกษา ระยองเป็น 1 ใน 3 จังหวัดที่เราเลือกเพราะต้นทุนทางสังคมและศักยภาพในการขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมทางการศึกษา สิ่งที่เป็นจุดแข็งคือทีมของพื้นที่ ภาคเอกชนและท้องถิ่นที่มีความมุ่งมั่น เรายังคงยืนยันที่จะยึดเด็กเป็นหัวใจในการพัฒนา และในความสำเร็จครั้งนี้หากจะถอดเป็นองค์ความรู้ในการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่ออกเป็นปัจจัยภายใน จะประกอบไปด้วย
1. ปัจจัยความพร้อมของคนในจังหวัดระยอง อาทิ พ่อแม่ผู้ปกครอง ผู้ประกอบการ เป็นปัจจัยภายในที่สำคัญมาก สำเร็จได้หากเกิดกลุ่มคนเหล่านี้เกิดความเข็มแข็ง
2. ปัจจัยความพร้อมผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษา ตั้งแต่ คุณครู ผู้อำนายการ เขตพื้นที่ สถานศึกษา ศึกษาธิการจังหวัด ร่วมกันวางนโยบายขับเคลื่อยไปในแนวทางเดียวกัน
เมื่อทั้ง 2 ปัจจัยมีความพร้อมในการขับเคลื่อนการศึกษาเชิงพื้นที่ เราก็นำปัจจัยเรื่องกฎหมาย พรบ.พื้นที่นวัตกรรมทางการศึกษามาหนุนเสริม กลไกกฎหมายเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับจังหวัดได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
ดังนั้นความสำเร็จตรงนี้ไม่ใช่แค่การสร้างพื้นที่เพื่อเปิดโอกาสในการมีส่วนร่วมอย่างเดียว แต่เป็นการบริหารปัจจัยและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดให้เห็นเป้าหมายชัดเจนและร่วมขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกันตามบทบาทหน้าที่ของแต่ละภาคส่วน ประเด็นที่กำลังขับเคลื่อนนี้ไม่ใช่การทำโครงการเพียงระยะสั้น แต่เป็นภาพฝันระยะยาวที่มีช่วงเวลาในการทำอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 7 ปีในระยะเวลาเท่านี้สามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงที่พลิกโฉมการศึกษาของระยองได้จริงและยั่งยืน
เดิมระยองเป็นเมืองท่าที่มีความเป็นสากลสูงเชื่อมโยงกับนานาชาติมาอย่างยาวนาน แต่คำถามที่สำคัญคือ เด็กๆ ในระยองได้รับโอกาสในการเรียนรู้และซึมซับความเป็นสากลนี้เพียงใด? ในยุคที่ทุกอย่างความจริงเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เราสามารถเข้าถึงความจริงได้ด้วยตัวเอง แต่ความงามและความดียังเป็นสิ่งที่ช่วยให้ผู้คนเกิดความจรรโลง การเชื่อมโยงศักยภาพที่หลากหลายกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เด็กๆ ต้องมีความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลและความรู้ด้วยตนเองอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันก็ต้องมีทักษะในการจัดการตนเองและดูแลสังคม ระบบการศึกษาจึงจำเป็นต้องถูกออกแบบเพื่อเสริมสร้างทักษะเหล่านี้เพราะคิดว่าในสังคมของความเป็นสากลต้องมีองค์ประกอบทั้ง ความจริง ความงาม ความดีต้องอยู่ร่วมกันและดำเนินต่อไป ควรเป็นคุณลักษณะของเด็กรุ่นใหม่ที่มีเชื้อเพลิงภายในที่แข็งแรง
เชื้อเพลิงในการขับเคลื่อนการศึกษาในบริบทระยองสู่สากล: แนวทางภายในและภายนอก
การขับเคลื่อนการศึกษาในบริบทของจังหวัดระยองให้ก้าวสู่ความเป็นสากลต้องอาศัย "เชื้อเพลิง" ที่ช่วยส่งเสริมพลังและทิศทางในการพัฒนา ซึ่งสามารถสรุปได้เป็น 2 แนวทางหลัก ได้แก่ เชื้อเพลิงภายในและเชื้อเพลิงภายนอก ที่ต้องทำงานร่วมกันเพื่อสร้างระบบการศึกษาที่ตอบสนองต่อความต้องการของสังคมและเศรษฐกิจในยุคปัจจุบัน
เชื้อเพลิงภายใน: พลังจากภายในสู่การพัฒนาที่มั่นคง
เชื้อเพลิงภายในเริ่มต้นจากการสร้างเด็กให้เป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ โดยผู้เรียนต้องได้รับการสนับสนุนจากคุณครู ผู้ปกครอง และผู้บริหารโรงเรียน ที่มีคุณลักษณะดีงาม ซึ่งเด็กจะเรียนรู้และซึมซับคุณธรรมและความรู้จากผู้ใหญ่เหล่านี้อย่างเป็นธรรมชาติ องคาพยพด้านการศึกษาจึงต้องใช้จิตสำนึกในการขับเคลื่อน มิใช่เพียงแค่ปฏิบัติตามกฎหมายแต่ต้องมีความตั้งใจจริงในการสร้างระบบนิเวศที่ส่งเสริมการศึกษาเพื่อประกอบอาชีพและพัฒนาชีวิต
ภาคเอกชนก็มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการศึกษา โดยการให้ความสำคัญเชิงปฏิบัติจริง การจัดการศึกษามิใช่เพียงเรื่องของงบประมาณ แต่เป็นเรื่องของการวางแผนอย่างถูกต้อง มีการพัฒนาหลักสูตรที่ดี และฝึกอบรมครูผู้สอนอย่างมืออาชีพ โดยการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญภายนอก ที่สามารถนำพาระบบการศึกษาไปในทิศทางที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้การสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ในพื้นที่ระยองก็เป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาการศึกษา เราต้องไม่ท้อแท้และไม่ละทิ้งความพยายามในการสร้างระยองให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ที่สมบูรณ์และยั่งยืน
เชื้อเพลิงภายนอก: พลังสนับสนุนจากภายนอกสู่ความสำเร็จ
เชื้อเพลิงภายนอกมาจากการสนับสนุนและประสานงานจากหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะคณะกรรมการขับเคลื่อนของพระราชบัญญัติพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา (พรบ.) ที่ทำหน้าที่ประสานความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อเข้ามาเสริมสร้างระบบการศึกษาในพื้นที่ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงคอยแนะนำและนำพาการปฏิบัติไปในทิศทางที่ถูกต้อง
กลไกทุกระบบจำเป็นต้องได้รับการปรับเปลี่ยนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา แต่การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงแค่ปรับเปลี่ยนภายนอกแต่ต้องเปลี่ยนให้เกิดแนวคิดและการทำงานที่มุ่งเน้นเป้าหมาย การปรับวิธีคิดของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเป็นสิ่งสำคัญในการนำพาพื้นที่นวัตกรรมให้สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงและเอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาการศึกษาในระยองให้ก้าวสู่ระดับสากล
เชื้อเพลิงทั้งภายในและภายนอกมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการศึกษาของระยองให้ก้าวสู่ความเป็นสากล โดยต้องทำงานร่วมกันเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมทางการศึกษาและระบบนิเวศที่เอื้อต่อการพัฒนาผู้เรียน การร่วมมือกันทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความสำเร็จให้กับระยองและเป็นต้นแบบให้กับจังหวัดอื่นๆ ในประเทศไทย